จจุบันสังคมโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนผ่าน (Transformation) จากเศรษฐกิจ
อุตสาหกรรม (Industrial Economy) มาสู่เศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge Based Economy) ซึ่งให้
ความสําคัญกับทรัพยากรมนุษย์ที่มีทักษะการคิดว่าเป็นทรัพย์สินที่มีค่า แต่ทรัพยากรมนุษย์ที่มีทั้งทักษะการคิด
และทักษะการพัฒนาจิตเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุดหรือมีคุณค่ามากกว่า เพราะท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง
และการเปลี่ยนผานดังกลาวเกิดขึ้นในสภาวะผันผวน-ไม่แน่นอน-ซับซ้อน-คลุมเครือ (VUCA Condition)
จากปัญหาต่าง ๆ ทั้งดานเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง รวมทั้งจากวิกฤตการการระบาดของ COVID-19 ที่
กระหนํ่าซํ้าเติมเข้ามา ส่งผลกระทบในทางลบต่อองค์กรต่าง ๆ รวมทั้งโรงเรียนด้วย โดยทําใหครูและบุคลากร
ทางการศึกษาเกิดความเครียดและเพิ่มพูนเป็นความเครียดสะสม (Cumulative Stress) วิตกกังวล ซึมเศร้า
ลุกลามไปถึงปัญหาความสัมพันธในทีม ปัญหาความสัมพันธกับนักเรียนและผู้ปกครอง หมดกําลังใจในการ
ทํางาน (Burn Out) ในที่สุด ก็จะส่งผลถึงคุณภาพงานของโรงเรียน
สําหรับผลกระทบทางลบต่อนักเรียนเฉพาะที่เกิดจากปัญหาการระบาดของ COVID-19 อย่างเดียวก็
ทําให้เกิด “แผลใหม่” ที่ส่งผลตอคุณภาพนักเรียนในทุกระดับจากมาตรการโรงเรียนในช่วง พ.ศ.2563-
2565 ที่มีการปิดทุกพื้นที่รวม 16 สัปดาห์ และปิดบางพื้นที่รวม 53 สัปดาห์ ทําใหนักเรียนอยูกับหน้าจอ
คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือนานเกินไปทั้งกับการเรียน Online และเล่นเกมทําให้ส่งผลตอการทํางานของ
สมองที่ต้องทํางานหรือเรียนรู้โดยใช้ภาษาพูด (Verbal) ควบคู่ไปกับภาษาท่าทาง (Non-Verbal) ซึ่งหายไปจาก
การเรียน Online นักเรียนขาดพลังในการตั้งใจเรียนและความสามารถในการควบคุมตนเอง (Self
Regulation) ลดลง ส่งผลทําให้เกิดความสูญเสียอย่างน้อย 3 ประการ คือ สูญเสียการเรียนรู(Learning Loss)
สูญเสียพัฒนาการ (Developmental Loss) และสูญเสียทางสังคม (Social Loss) กล่าวคือ การ
สูญเสียการเรียนรู้สําหรับนักเรียนระดับปฐมวัย (อายุ 2-7 ป) พลาดช่วงโอกาสทอง (Prime Time) ในการ
พัฒนาสมองส่วนหน้า (EF) ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ในระยะยาว ซึ่งหากพิจารณาในแง่เศรษฐศาสตรจาก
การศึกษาของกสศ. (กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา)จะสูญเสียความสามารถในการหารายได้ทั้งชีวิต
คิดเป็นมูลค่า 850,000 บาท สําหรับนักเรียนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาได้รับผลกระทบทางลบ
โดยสรุปเป็นภาพรวม คือ ด้านการเรียนรู้/วิชาการ นักเรียนสูญเสียทักษะ การอ่าน เขียน และคิดคํานวณ ด้าน
พัฒนาการ นักเรียนสูญเสียทักษะทางกายและทักษะในการคิด และด้านสังคม นักเรียนสูญเสียทักษะการ
สื่อสาร/ปฏิสัมพันธ์ และเกิดความเครียด
นอกจากนั้นยังมี “แผลเก่า” ที่ส่งผลตอคุณภาพนักเรียนมาอย่างยาวนานที่สรุปไว้โดยโครงการติดตาม
สภาวการณ์เด็กและเยาวชน (Child Watch) ซึ่งสรุปพฤติกรรมเป็น 2 กลุ่ม คือ พฤติกรรมที่ “ยิ่งโตยิ่งเพิ่ม” ได้
แก่ พฤติกรรมเที่ยวกลางคืน เล่นโทรศัพท์มือถือ หนีเรียน ยอมรับการมีเพศสัมพันธ์ ดื่มสุรา เสพสารเสพติด
เป็นต้น และพฤติกรรมที่ “ยิ่งโตยิ่งลด” ได้แก การไปวัด/ทําบุญ ไปเที่ยวกับพ่อแม่/ผู้ปกครอง เล่นกีฬาและ
ช่วยงานบ้าน เป็นต้น สอดคล้องกับที่ศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว สรุปแนวโน้มของสถานการณ์เด็ก
ไว้ว่า เด็กและเยาวชนถูกผลักเขาสู่โลก Online โดยขาดสมรรถนะที่จําเป็น มีความเครียดและมีปัญหา
สุขภาพจิตที่ต้องได้รับความช่วยเหลือมากยิ่งขึ้นกอนที่จะนําไปสู่พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์หรือเหตุการณที่
อันตราย โดยมีข้อมูลจากบริการสายด่วนสุขภาพจิตของกรมสุขภาพจิตระบุว่า ปัญหาที่เด็กและเยาวชนโทรเข้า
มาปรึกษามากที่สุด 5 อันดับแรก คือ ความเครียดหรือความวิตกกังวล ปัญหาจิตเวช ปัญหาความรัก ปัญหา
ซึมเศร้า และปัญหาครอบครัว
สภาพการณ์ที่รุมเร้าทั้งบุคลากรครูและนักเรียนตามที่นําเสนอมานั้น จึงทําให้โรงเรียนต้องทําอะไร
มากกว่าการ “ตั้งรับ” และ “ปรับตัว” ที่ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคุณภาพภายในโรงเรียนที่เน้นเพียงการ
พัฒนาความรู้และทักษะในการทํางานของบุคลากรครูด้วยเครื่องมือต่าง ๆ เช่น การบริหารโครงการการบริหาร
การเปลี่ยนแปลง การประกันคุณภาพภายในการประเมินและรับรองคุณภาพจากหน่วยงานภายนอก และการ
สร้างโรงเรียนให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดก็สนองความต้องการของนักเรียน ผู้ปกครอง
และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ ในสังคม เสริมสร้างพลังอํานาจของบุคลากรครู และเกิดการเปลี่ยนแปลงในการ
ทํางานทําให้โรงเรียนเกิดความสําเร็จได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังคงมีอุปสรรคที่สําคัญ คือ ความรู้สึกเป็นภาระที่
เพิ่มขึ้น เหนื่อยล้า กดดัน เป็นต้น แตในที่สุดก็พบว่า การเปลี่ยนแปลงโรงเรียนที่สําคัญนั้น นอกจากระบบ
บริหารจัดการด้วยเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ขับเคลื่อนคุณภาพแล้ว การศึกษาวิจัยเรื่องเกี่ยวกับองค์กรทุกประเภท
มีข้อค้นพบที่สําคัญที่สรุปในบริบทโรงเรียนได้ว่า ถ้าบุคลากรครู รู้สึกถึงคุณค่าในตนเองและมีความสุขในการ
ทํางานไม่วา่จะอยูในตําแหน่งหรือมีบทบาทหน้าที่อย่างไรก็จะเป็นหัวใจสําคัญในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนา
คุณภาพงานของโรงเรียนได้
ในแผนระบบสื่อและวิถีสุขภาวะทางปัญหามีจุดเน้นข้อ 4 ในการยกระดับสุขภาวะทางปัญญาเพื่อ
สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพในมิติอื่น มุ่งสร้างพื้นที่แห่งการรับฟัง สงเสริมสังคมที่เกื้อกูล และกระบวนการ
เรียนรูดานสุขภาวะทางปญญาบนพื้นฐานชีวิตวิถีใหม หลังวิกฤติโควิด 19 โดยมีเปาหมายทั้งในการปรับเปลี่ยน
เชิงพฤติกรรมและวิถีชีวิตแบบกลุมเปาหมาย ซึ่งในโครงการนี้เนนเยาวชน และการเปลี่ยนแปลงเชิงสังคมและ
สิ่งแวดลอมที่โครงการนี้เนนโรงเรียนทั้งยังเปนวัตถุประสงคสําคัญขอ 3 ของแผน เพื่อสรางปจจัยแวดลอมที่
เอื้อตอการเรียนรูในการพัฒนาสุขภาวะทางปญญาของกลุมเปาหมายทุกชวงวัยและรวมขับเคลื่อนงานสราง
เสริมสุขภาวะดวยวิถีและชองทางพัฒนาสุขภาวะทางปญญา โดยกลยุทธ 4E เนนเครือขายใหมคือโรงเรียนและ
มหาวิทยาลัยราชภัฎ ซึ่งเปนหลักในการพัฒนาครูและการเรียนรูของเยาวชน
สถาบันวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้ร่วมกับโครงการสติในองค์กรของกรมสุขภาพจิตได้นําจิตวิทยาสติ
(Mindfulness Psychology) มาพัฒนาเป็นนวัตกรรมทางเลือกที่โรงเรียนนํามาใชในการพัฒนาควบคูกันไป
ระหวางการพัฒนาคน (บุคลากรครู) และการพัฒนาคุณภาพในโรงเรียน โดยมีหลักฐานเชิงประจักษ ในการ
ปฏิบัติ (Evidence Based Practices : EBP) ที่อธิบายได้ด้วยหลักจิตวิทยา (Psychology) และศาสตร์
เกี่ยวกับสมอง (Neuroscience) ที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนา จากการเริ่มใช้ในวงการสุขภาพและสุขภาพจิตจน
ขยายไปสู่วงการต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง ดังนั้น การนํามาใชในบริบทโรงเรียนจึงเป็นการนําจิตวิทยาสติต่อยอด
การศึกษาขั้นพื้นฐานให้เกิดความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยจัดการศึกษาที่มีสติเป็นฐาน (Mindfulness Based
Education)
ในจิตวิทยาสติ จะให้หลักคิดที่ว่าจิตพื้นฐาน มีแนวโน้มจะสะสมความคิดลบ จนกลายเป็นอารมณ์และ
ความเครียดที่ผานมาแก้ได้ด้วยการปรับปรุงจิตพื้นฐาน ซึ่งเปนจิตวิทยากระแสหลัก แตในปัจจุบันไดมีการ
พัฒนาจิตวิทยากระแสใหม่ ซึ่งมุ่งเน้นพัฒนาจิตที่มีคุณภาพด้วยสมาธิและสติ ซึ่งจะเป็นจิตที่สงบ มั่นคง สมดุล
ไม่สะสมความคิดลบ แต่จะมีความป่ลอยวาง เมตตาและให้อภัย
ภายใต้แนวคิดที่สําคัญ คือ เริ่มตนที่สติในตน โดยบุคลากรครูทุกคนคนหาคุณค่าภายในตนเองพัฒนาจิ
ตด้วยสมาธิ สติ ที่ทําใหทํางานอยางมีพลังและมีความสุข นําไปสูสติในสัมพันธภาพ/ทีม (ทั้งกับเพื่อนร่วมงาน
นักเรียน และผู้ปกครอง) ด้วยบรรยากาศการสร้างสัมพันธภาพในทีมที่เอื้อต่อการทํางานร่วมกันอยางมีมิตร
ไมตรีดวยสติสื่อสารและสติคิดบวก ลงท้ายด้วยสติในการขับเคลื่อนงานโรงเรียน โดยใชสติในการประชุมแบบ
กัลยาณมิตรสนทนา (Dialogue) เพื่อเรียนรู้งาน และแบบอภิปรายอย่างสร้างสรรค (Creative Discussion)
เพื่อแก้ปัญหางาน โดยเฉพาะในการประชุม PLC (Professional learning community) ซึ่งทั้ง 3
องค์ประกอบ คือ สติในตน สติในสัมพันธภาพ/ทีม และสติในการขับเคลื่อนงานโรงเรียน ต่างก็มีความสัมพันธ
คํ้าจุนซึ่งกันและกัน หากขาดองค์ประกอบใดไปก็ยากที่จะสร้างวัฒนธรรมในโรงเรียนได้ ดังนั้นในการจัด
การศึกษาที่มีสติเปนฐานจะต้องมีครบทั้ง 3 องค์ประกอบตามแผนภาพ
การทําให 3 องค์ประกอบเกิดขึ้นไดในโรงเรียน ทําไดโดยใชเครื่องมือการฝึกอบรมเปนจุดเริ่มตน
(Entry Point) เพื่อใหเกิดการเรียนรูและการปฏิบัติตามลําดับขั้น คือ ขั้นที่ 1 เตรียมการและปรับเปลี่ยน
กระบวนทัศนดาน การพัฒนาจิตแกทีมนํา ขั้นที่ 2 ใหบุคลากรครูเรียนรูนําไปใชในการทํางานและการประชุม
ตลอดจนใชในชีวิตประจําวัน ขั้นที่ 3 นําไปใชพัฒนานักเรียนและผูปกครอง และขั้นที่ 4 โรงเรียนรวมกับผู
ปกครองและผูมีสวนไดสวนเสียนําไปใชใหเกิดประโยชนกับชุมชน สังคม แตการใชเครื่องมือ “การฝกอบรม”
เพียงอยางเดียวอาจจะทําใหเกิดความสําเร็จไดอยางไมมีความตอเนื่องและยั่งยืน ดังนั้น สถาบันวิจัยและ
พัฒนาการเรียนรูจึงไดพัฒนาอีกหนึ่งเครื่องมือที่สําคัญ คือ เครื่องมือการบริหาร เพื่อใหเกิดเปนวิถีโรงเรียนผาน
ระบบตาง ๆ ตามผัง Macro Flow Chart ดังนี้
จาก Macro Flow Chart ประกอบดวย 3 สวน คือ ระบบหลัก (อยูตรงกลาง) ระบบสนับสนุน (อยูด
านซายและดานลาง) และผล (อยูดานขวา) โดยในระบบหลักและระบบสนับสนุนแตละระบบมีขอกําหนด
(Requirement) ที่เปนแนวทางใหโรงเรียนกําหนดวิธีปฏิบัติ (Practices) เพื่อขับเคลื่อนสติใหเปนวิถีโรงเรียน
และเกิดความยั่งยืนได้
ข้อกําหนดของระบบหลัก คือ ขอกําหนดที่เมื่อดําเนินการแลวจะสงผลตอคุณภาพของกลุมเปาหมาย
โดยตรง ประกอบดวยการใหบุคลากรครูมีสติในตนโดยการทําสมาธิกอนและหลังเลิกงาน ทํางานอยางมีสติโดย
มีเครื่องชวยเตือนระหวางวัน มีสติในสัมพันธภาพ/ทีม โดยสื่อสารระหวางบุคคลอยางมีสติดวยกติกาสติสื่อสาร
และประชุมทีมโดยใชสติในการประชุม (วง PLC) และมีสติในการขับเคลื่อนงานโรงเรียน โดยประชุมข้ามสาย
งานและประชุมคณะกรรมการบริหารโดยใชสติในการประชุมแบบกัลยาณมิตรสนทนาและแบบอภิปรายอยาง
สรางสรรค
ข้อกําหนดของระบบสนับสนุน คือ ขอกําหนดที่มีบทบาทหนาที่ในการนําและบริหารจัดการเพื่อ
ขับเคลื่อนระบบหลักใหเดินเครื่องไดสะดวก เริ่มจากการนํา โดยผูบริหารโรงเรียนประกาศใหการพัฒนาจิตเป็น
ของโรงเรียนทําการสื่อสารเรื่องการพัฒนาจิตเปนคุณคาสําคัญของทุกคนในโรงเรียน ผลักดันและสนับสนุนให
การพัฒนาจิตเกิดขึ้นจริงและยั่งยืนตอเนื่อง และผูบริหารเปนแบบอยางการพัฒนาจิตแกบุคลากร
ระบบตอมา ไดแก แผนและการบริหารแผน มีขอกําหนด คือ จัดทําแผนกลยุทธการพัฒนาสติของ
โรงเรียน ดําเนินการตามกลยุทธ และจัดทําแผนพัฒนาสติของหนวยงานยอยในโรงเรียน
ระบบตอมา ไดแก การบริหารเพื่อพัฒนาสติ มีขอกําหนด คือ กําหนดทีมขามสายงานรับผิดชอบ การ
บริหารจัดการสติ จัดสรรทรัพยากรในการดําเนินงาน และกําหนดใหสติเปนสมรรถนะหลักของบุคลากร
ระบบตอมา ไดแก การพัฒนาบุคลากร มีขอกําหนด คือ สรางทีมวิทยากรพัฒนาสติใหบุคลากรสรางพี่
เลี้ยงขับเคลื่อนสติใหเปนวิถีในหนวยงานยอยของโรงเรียน อบรมบุคลากรทั้งโรงเรียนใหเกิดทักษะพื้นฐาน และ
พัฒนานวัตกรรมการพัฒนาจิตในโรงเรียน
ระบบสุดทาย ไดแก สารสนเทศและการจัดการความรู มีขอกําหนด คือ จัดเก็บ วัด และวิเคราะหข
อมูลสารสนเทศในการพัฒนาจิตเพื่อใชประโยชนในโรงเรียน และแลกเปลี่ยนเรียนรูเพื่อพัฒนาสติทั้งในและ
นอกโรงเรียน
กล่าวโดยสรุปไดวาจากแนวคิดจิตวิทยาสติ (สติในตน สติในสัมพันธภาพ/ทีม และในการขับเคลื่อน
งานโรงเรียน) ดังไดกลาวมาแลวนั้น มีขั้นตอนของการดําเนินงาน คือ เริ่มตนขั้นที่ 1 ดวยการประชุมเชิง
ปฏิบัติการผูบริหาร 1 วัน เพื่อปรับกระบวนทัศนและสรางความเขาใจ ในแนวคิดจิตวิทยาสติกอน (เพิ่มเติมจาก
ที่ผูบริหารมีตนทุนความสนใจและเขาใจอยูบางแลว) จากนั้นจึงเขาสูขั้นที่ 2 คือการอบรมเชิงปฏิบัติการ
บุคลากรครูในโรงเรียนทุกคนทุกตําแหนง (อบรม 100%) โดยใชเวลา 2 วัน เพื่อใหครูเกิดการเรียนรูและนําไป
ปฏิบัติจนเกิดผลกับตนเองทําใหเกิดพลังและความสุขในการทํางาน และการใชชีวิตประจําวันใชสติสื่อสาร
ผสมผสานภาษาฉัน และสติคิดบวกในการสรางสัมพันธภาพกับเพื่อนครูดวยกัน กับนักเรียน และผูปกครอง ทํา
ใหเกิดบรรยากาศการทํางานรวมกันอยางมิตรไมตรี เปนแรงผลักไปสูการใชสติในการประชุม PLC 2 แบบเพื่อ
ขับเคลื่อนใหเกิดการเรียนรูงานดวยกัลยาณมิตรสนทนา (Dialogue) และแกปญหางานดวยการอภิปรายอยาง
สรางสรรค (Creative Discussion) และขั้นที่ 3 ครูนําจิตวิทยาสติไปใชกับนักเรียนที่เปนการใช 2 มิติ คือการ
ใชในมิติปจจัย (Input) ที่มีคุณลักษณะดี ๆ อยูในตัวครูเชน ความรัก เสียสละ เมตตา และใหอภัย เปนตน ซึ่ง
เปนการเสริมสราง “จิตวิญญาณของความเปนครู” และใชในมิติกระบวนการ (Process) เชน ใชกติกาสติ
สื่อสาร ใชภาษาฉัน ใชสติไตรตรอง และสติคิดบวกกับนักเรียน เปนตน ที่สําคัญที่สุดสําหรับครู คือ การใชสตินํา
การ “ปฏิรูปการเรียนรู” เพื่อพัฒนานักเรียนใน 3 ระบบหลักที่เปนหัวใจของโรงเรียน คือ ระบบการเรียนรู
ระบบดูแลชวยเหลือนักเรียน และระบบกิจกรรมนักเรียน
ข้อกําหนดของระบบหลักและระบบสนับสนุนทั้งหมด หากโรงเรียนดําเนินการไดดีก็จะทําใหเกิดผลที่ดี
ทั้งผลลัพธโดยตรง (Outcome) และผลในเชิงผลกระทบ (Impact) ทั้งในระดับตน ทีม และโรงเรียน
โดยสรุปเครื่องมือในการนําสติไปใชในรร.ประกอบดวยการนําจิตวิทยาสติจากครูไปสูนักเรียน โดยทํา
ใหเปนวิถีโรงเรียน ครู พัฒนาสติในตนทั้งในชีวิตและงาน สติกับสัมพันธภาพและสติในการประชุมPLC กับนร.
นําสติไปใชในการเรียนและใชชีวิตรวมทั้งสมาธิ/สติในการพัฒนาตนเพื่อจัดการกับอารมณ/ความเครียด และ
สมาธิ/สติ ในการแกปญหาสุขภาพจิต
ประสบการณของมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาการเรียนรู(มสวร.) ซึ่งเปนองคกรที่ไมแสวงหาผลประ
โยชน (Non-Profit Organization) ไดดําเนินการพัฒนาคุณภาพและสรางความเขมแข็งแกโรงเรียนทั่วทุกภาค
ของประเทศมาโดยตลอดตั้งแตป พ.ศ.2546 ดวยเครื่องมือตาง ๆ ที่เกี่ยวของกับการบริหารจัดการคุณภาพ เช
น การจัดการคุณภาพเชิงระบบ (TopSTAR) การเทียบระดับ (Benchmarking) และการจัดการความรู
(Knowledge Management) เปนตน เรื่อยมาจนถึงเครื่องมือเกี่ยวกับการปฏิรูปการเรียนรูแบบ Active
Learning และไดพัฒนาคุณภาพโรงเรียน โดยใชสติเปนฐาน (Mindfulness Based) มาตั้งแต พ.ศ.2558 จน
ถึงปจจุบัน ซึ่งแบงตามชวงเวลาเปน 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 พ.ศ.2558-2561 มีโรงเรียนรวมดําเนินการในนาม
โครงการสรางสุขดวยสติในองคกร (Mindfulness in Organization) จํานวน 4 โรงเรียน จากภาคใตและภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะที่ 2 พ.ศ.2562-2564 ไดปรับปรุงชื่อใหสอดคลองกับบริบทโรงเรียนในนามโครงการ
สรางสุขดวยสติในโรงเรียน (Mindfulness in School) มีโรงเรียนจากทุกภาคของประเทศเขารวมโครงการ
จํานวน 17 โรงเรียน ซึ่งในจํานวนนี้ไดพัฒนาใหเปนโรงเรียนตนแบบ ภาคละ 1 โรงเรียน รวม 4 โรงเรียน และ
ระยะที่ 3 พ.ศ.2564 (ตุลาคม) จนถึงปจจุบัน มีโรงเรียนจากทุกภาคเขารวมโครงการ จํานวน 24 โรงเรียน ซึ่ง
ในระยะที่ 3 นี้ดําเนินการโดยใชโรงเรียนตนแบบเปนแกนหลัก (Focal Point) ในการสรางความเขมแข็ง โดยใช
สติเปนฐานใหกับโรงเรียนในฐานะโรงเรียนขยายผล โดยการปรับกระบวนทัศน ทีมบริหารอบรมบุคลากรครู
100% ดําเนินการขับเคลื่อนทั้ง 3 องคประกอบ (สติในตน สติในทีม และสติในโรงเรียน) มีการแลกเปลี่ยนเรียน
รูเยี่ยมเสริมพลังโดยโรงเรียนตนแบบรวมกับพี่เลี้ยง ทําการเทียบระดับ (Benchmarking) และจัดประชุม
วิชาการ (Online) ในระดับประเทศ ซึ่งจากการดําเนินการดังกลาวมีการพัฒนา และการเปลี่ยนแปลงกับกลุ
มเปาหมายจึงทําใหเกิดผลลัพธเชิงคุณภาพตามแนวคิดสําคัญของจิตวิทยาสติครอบคลุมทั้ง 3 องคประกอบ คือ
ในระดับบุคคล (ตน) บุคลากรครูและผูบริหารมีความตระหนักรูในคุณคาของตนเอง ทํางานไดอยางมีพลังและ
ความสุขจากการไดฝกสมาธิและสติ (Practice) จนทําไดอยางชํานาญ (State) เปนบุคลิกประจําตัว (Trait) ใน
ระบบทีมบุคลากรครูมีทักษะในการใชสติสื่อสาร (Mindful Communication) โดยพูดและฟงอยางมีสติ (รูลม
หายใจพูดและฟง) มีปฏิสัมพันธที่ดีตอกันดวยการใชภาษาฉัน (I Message) มีความคิดเชิงบวกตอเพื่อนรวมงาน
และตอบริบทของงาน ทําใหบรรยากาศในการทํางานดี (Nice Atmosphere) และระดับองคกร บุคลากรครูได
นําสติไปใชขับเคลื่อนงานของโรงเรียนดวยการใชสติในการประชุม PLC 2 แบบ คือ ใชกัลยาณมิตรสนทนา
(Dialogue) เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรูประสบการณดี ๆ ที่เกิดขึ้นในการทํางาน ความสําเร็จที่เปนเลิศของงาน
(Best Practices) จนทําใหเกิดคลังความรู(Knowledge Assets) ของโรงเรียน และใชการอภิปรายอยางสราง
สรรค (Creative Discussion) เพื่อแกปญหาในงานจนทําใหเกิดนวัตกรรมในการทํางานของโรงเรียน
นอกจากนี้ในระยะที่ 3 นี้ มสวร.ยังไดเขาไปมีบทบาทในการพัฒนามหาวิทยาลัยราชภัฏ 4 แหง
(มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค และ
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ) ในการนําสติไปใชในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะคณะคุรุศาสตร และโรงเรียนสาธิต
เพื่อใหสงผลตอการผลิตครู และพัฒนาโรงเรียนในการสรางสุขภาวะทางปญญาของนักเรียนโดยใชจิตวิทยาสติ
เปนพื้นฐาน
จากประสบการณและการดําเนินการสติในโรงเรียนมาอยางตอเนื่อง มสวร. จึงมีแนวคิดที่จะพัฒนา
โรงเรียนตนแบบสติใน 4 ภาคใหเปนศูนยการเรียนรูสติ (Mindfulness Learning Center) และพัฒนา
มหาวิทยาลัยราชภัฏที่มีศักยภาพในการพัฒนาโรงเรียนเครือขายในการฝกประสบการณวิชาชีพของนักศึกษา
เพื่อขยายฐานการเรียนรูเกี่ยวกับสติในวงกวางตอไป